
รีวิว โปเกมอนรัมเบิล U ซีรีส์วิดีโอเกมแอคชัน จากปี 2013
- Good Day's
- 50 views

รีวิว โปเกมอนรัมเบิล U เป็นตัวแทนความตั้งใจ ของการนำแนวคิดของเล่นมีชีวิต ที่ซีรีส์ Rumble วางรากฐานไว้ตั้งแต่ปี 2009 จากบทความ รีวิว เกมโปเกมอน Rumble นำมาปรับปรุงให้มีความสดใหม่ บทความนี้ จึงจะพาสำรวจความเป็นมา หรือวิธีที่เกมเล่าออกมา และเสียงสะท้อนในปีที่เปิดตัว

เมื่อมองย้อนกลับไปยังช่วงต้นปี 2010 แฟรนไชส์โปเกมอน กำลังอยู่ในจุด ที่ต้องการขยายประสบการณ์ออกไปให้กว้าง กว่าเกมแนว RPG แบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นแกนหลักมาตั้งแต่ยุค Game Boy กระแสเทคโนโลยีใหม่ (27 พฤศจิกายน 2025) [1]
อย่าง NFC บน Wii U และความนิยมของเกมแนวเล่นง่าย สำหรับครอบครัว ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่าโปเกมอน สามารถสร้างตัวตนใหม่ ในตลาดที่เน้นความเร็ว ความเข้าถึงง่าย และการเชื่อมต่อโลกจริงได้มากแค่ไหน
การพัฒนาของ Pokemon Rumble U เริ่มต้นจากความพยายามต่อยอดซีรีส์โปเกมอนรัมเบิล ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2009 บนเครื่อง Wii ซึ่งวางตำแหน่งตัวเองเป็นเกมแอคชันที่เล่นง่าย และให้ภาพลักษณ์โปเกมอน ในรูปแบบของเล่นมีชีวิต ที่เคลื่อนไหวบนสนามต่อสู้ แบบเรียลไทม์ (25 ตุลาคม 2025) [2]
เมื่อกระแสของเทคโนโลยี NFC เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น บนแพลตฟอร์มเกม ในปี 2013 ทำให้ทีมพัฒนา Ambrella มองเห็นโอกาสเชื่อมต่อโลกของเล่น เข้ากับโลกดิจิทัล ผ่านการเปิดตัวเกมภาคนี้ บนเครื่องเล่น Wii U eShop โดยใช้ความสามารถของ Wii U GamePad เป็นแกนสำคัญ
ในการอ่านฟิกเกอร์โปเกมอนจริง เข้าสู่ตัวเกม เมื่อฐานคิดนี้ถูกต่อยอด ความเป็นมาของเกมภาครัมเบิลยู จึงสะท้อนให้เห็นความตั้งใจของแฟรนไชส์ ในการทดลองพื้นที่ใหม่ นอกเหนือจากเกม RPG แบบดั้งเดิม ที่แฟนเกมรุ่นเก่าคุ้นเคย
แกนการเล่าเรื่องราวหลัก ๆ ที่โปเกมอน ภาครัมเบิลยู สื่อออกมา คือมุมมองใหม่ของโปเกมอน ในฐานะวัตถุที่จับต้องได้ ไม่ใช่เพียงตัวละครในเกม ซึ่งสะท้อนผ่านธีมของเล่นมีชีวิต ที่กำหนดทิศทางภาพลักษณ์ของซีรีส์เกมภาครัมเบิล มาโดยตลอด การใช้โมเดลตัวละครที่คล้ายฟิกเกอร์ของจริง (2025) [3]
ทำให้ภาคนี้เดินไปในทิศทางที่เน้นความสนุก แบบรวดเร็วทันใจ เป็นหลัก โดยเฉพาะในช่วงที่เกมเปิดตัว ในวันที่ 24 เมษายน ปี 2013 ที่เทคโนโลยี NFC ถือเป็นฟีเจอร์ใหม่ของแพลตฟอร์มเครื่องเล่นเกม เกมจึงวางตัวเองเป็นงานทดลอง ที่มุ่งพิสูจน์ว่าโปเกมอน สามารถก้าวข้ามขอบเขตของสื่อดิจิทัล
ไปสู่ประสบการณ์ที่เชื่อมต่อโลกจริง ได้จริงหรือไม่ และทั้งหมดนี้ ทำให้สิ่งที่ภาคนี้ต้องการสื่อชัดเจนขึ้น ในฐานะเกมที่ออกแบบมา เพื่อความเพลิดเพลินฉับไว รวมถึงการทดลองขยายโลกของโปเกมอน ไปยังพื้นที่ที่ยังไม่เคยถูกสำรวจมาก่อน

การมองลงไปที่วิธีที่เกมเลือกใช้ เพื่อถ่ายทอดจังหวะ และอารมณ์แบบของเล่นมีชีวิต สู่ประสบการณ์จริง บนหน้าจอ เพราะโครงสร้างการเล่น คือส่วนที่จะบอกได้ชัดที่สุด ว่าความคิดที่ทีมพัฒนาวางไว้ ถูกส่งผ่านออกมาในรูปแบบใด
และถูกตีความโดยผู้เล่นอย่างไร ทั้งในมิติของความสนุกแบบรวดเร็ว ที่เกมตั้งใจผลักดัน และในมิติของความคาดหวัง ที่แฟนเกมโปเกมอน มีต่อเกมโปเกมอนภาคย่อยนี้
รูปแบบการเล่นของเกมภาคนี้ ถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์ผู้เล่น ที่ต้องการประสบการณ์แบบเริ่มเล่นได้ทันที และสนุกได้ทันที โดยยืนอยู่บนระบบแอคชัน ที่ใช้เพียงไม่กี่ปุ่มเป็นแกนหลัก ผู้เล่นจะได้ควบคุมโปเกมอน ที่มีลักษณะคล้ายฟิกเกอร์ของเล่น เคลื่อนที่ไปบนสนามเดียวกัน
เพื่อต่อสู้กับคลื่นศัตรูในด่านสั้น ๆ ที่กินเวลาประมาณ 1 ถึง 2 นาทีต่อรอบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของซีรีส์เกมภาครัมเบิล ที่เน้นความเร็ว และการเข้าถึงง่ายตั้งแต่ภาคแรก เมื่อระบบถูกย่นให้เหลือเพียงการโจมตีธรรมดา การใช้ท่าไม้ตาย และการสลับโปเกมอน อย่างรวดเร็ว
เกมจึงให้ความรู้สึกที่ไม่เน้นความลึกเชิงกลยุทธ์ แบบที่แฟนเกมคุ้นเคย ในขณะเดียวกัน เกมภาคนี้ ยังเพิ่มเส้นทางการเล่น ผ่านระบบสะสมโปเกมอน จากเจเนอเรชัน 1 ถึง 5 ที่ดรอปแบบสุ่ม หลังการต่อสู้ ทำให้กลไกการล่าตัวละครใหม่ ๆ กลายเป็นเป้าหมายหลักของผู้เล่น แทนการวางแผนเป็นรอบยาว
กระแสตอบรับของเกมโปเกมอน ภาคนี้ มีเสียงตอบรับแตกออกเป็น 2 ฝั่ง โดยกลุ่มที่มองเกมในฐานะเกมที่เล่นง่าย ต่างให้เครดิตกับความน่ารักของตัวละคร และจังหวะเกมที่เข้าถึงได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องเตรียมตัวนาน คะแนนเฉลี่ยจากสื่อเกมหลายแห่ง ในช่วงเกมเปิดตัว ให้คะแนนอยู่ที่ 48%
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาคนี้ โดดเด่นในด้านการเข้าถึง แต่ยังขาดความลึกในมุมมองของตลาดเกม โดยนักวิจารณ์หลายราย ชื่นชมว่าการนำเทคโนโลยี NFC มาใช้ ถือเป็นความพยายามที่มีทิศทาง ในเชิงนวัตกรรม โดยเฉพาะเมื่อเครื่องเล่นที่รองรับ เป็นเครื่องเล่นที่ต้องการจุดขาย ด้านอินเตอร์แอคชันใหม่ ๆ
บทบาทที่เกมโปเกมอน ภาค RumbleU นี้ ทำให้เห็นถึงศักยภาพของแฟรนไชส์เกม Pokemon คือการทดลองสิ่งใหม่ ๆ ภายในเกม ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งหลักฐาน ว่าซีรีส์เกมโปเกมอน ยังสามารถแตกแขนงสู่พื้นที่ ที่กล้าต่างจากเดิมได้อยู่เสมอ แม้การพัฒนาจะเต็มไปด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ ก็ตาม
จุดเด่นเกมภาคนี้ อยู่ที่การนำเสนอความสนุกแบบฉับไว ผ่านการเล่นที่ควบคุมง่าย และเป็นมิตรกับผู้เล่น ตั้งแต่เด็ก จนถึงผู้เล่นที่ต้องการเกมที่เรียบง่าย ในช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อผสานเข้ากับฟิกเกอร์โปเกมอน เกมจึงถ่ายทอดภาพความวุ่นวายแบบสนุก ๆ ที่ตอบโจทย์คอนเซปต์ ของซีรีส์นี้ได้อย่างชัดเจน
ข้อจำกัดสำคัญของโปเกมอนภาคนี้ เกิดจากความเรียบง่าย ของระบบการเล่น ที่แม้ว่าจะสอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าเน้นการเข้าถึงง่าย แต่กลับทำให้เกมขาดความลึกของเนื้อหา และมีแนวโน้มว่าระบบ จะมีการเล่นแบบวนซ้ำ เหมือนเกมภาคที่ผ่านมา หากเล่นผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง

