
แนะนำ เกมโปเกมอน ด้านอื่น ๆ ที่อยู่เคียงข้างโลกของเกมหลัก
- Good Day's
 - 37 views
 

เกมโปเกมอน ด้านอื่น ๆ จากแฟรนไชส์โปเกมอน 2 ภาค ที่กำลังจะแนะนำนี้ เกิดขึ้นหลังจากซีรีส์ Stadium ที่เริ่มทดลองการต่อสู้ 3 มิติได้สำเร็จ ทาง Nintendo ก็เดินหน้าเข้าสู่การทดลองต่อไป ด้วยการเล่าเรื่องโทนใหม่ ๆ บนเครื่องเล่นเกมคอนโซล ที่กลายเป็นรากฐานใหม่ของการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ

หลังจากเกมในแฟรนไชส์ Pokemon ที่เน้นการต่อสู้แบบ 3D สิ้นสุดลง แฟรนไชส์นี้ ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงที่ทางผู้ผลิต ต้องการพิสูจน์ว่าเกมโปเกมอน จะสามารถเล่าเรื่องราวโทนจริงจังได้ไหม ผลลัพธ์คือการถือกำเนิดของเกมภาค Colosseum และ XD GaleofDarkness ที่หยิบมาแนะนำนี้ (29 ตุลาคม 2025) [1]
เพราะเป็นเกมในแฟรนไชส์ด้านอื่น ๆ จำนวน 2 ภาคที่เลือกจะเดินออกจากเส้นทางหลัก ของเกมในแฟรนไชส์ทั้งหมด เพื่อสำรวจโลกเกม ที่มีโทนการเล่าเรื่องราวที่ลึกกว่า และมีน้ำหนักทางอารมณ์มากกว่าเดิม
หลังจากซีรีส์ Stadium ปิดฉากบทบาทยุคทดลอง 3D บน Nintendo 64 ในปี 2000 โลกเกมก็เดินหน้าสู่เครื่องเล่น GameCube ที่มีพลังประมวลผลมากกว่าเดิม และการเปิดตัวเกมโปเกมอน Colosseum ในปี 2003 จาก รีวิวโปเกมอน โคลอสเซียม ที่หยิบมาแนะนำเกมแรกนี้ (22 สิงหาคม 2025) [2]
เป็นเกมที่เปลี่ยนภาพจำของโปเกมอน ให้เข้มข้นขึ้นกว่าที่เคย เพราะเป็นครั้งแรกที่ผู้เล่น จะได้รับบทเป็นตัวเอกที่มีอดีตซับซ้อน และต้องรับมือกับองค์กร ที่ใช้เทคโนโลยีชำระจิตวิญญาณของโปเกมอน จนกลายเป็นโปเกมอนด้านมืด (2025) [3]
รวมถึงต่อมาในปี 2005 เกมภาค XD Gale of Darkness ได้สานต่อแนวคิดนี้อย่างสมบูรณ์ ด้วยระบบต่อสู้ที่ซับซ้อนขึ้น และเนื้อเรื่องที่เข้มข้นกว่าเดิม เพื่อพิสูจน์ว่าโปเกมอนสามารถเล่าเรื่องราวโทนอื่น ๆ ได้ โดยไม่หลุดจากเสน่ห์ของแฟรนไชส์
รูปแบบการเล่นของเกมโปเกมอน ภาค Colosseum และเกมภาคเอ็กซ์ดีดาร์คเนส จากบทความ รีวิวโปเกมอน XD ดาร์คเนส แตกต่างจากเกมภาคหลักทั่วไป ตรงที่จะให้ผู้เล่นเดินสำรวจ ในฉาก 3 มิติแบบเต็มรูปแบบ โดยจะมีเมือง มีศูนย์โปเกมอน และมีพื้นที่ต่อสู้แบบครบวงจร
ซึ่งเกมทั้งสอง ใช้ระบบจับโปเกมอนจากผู้ร้าย แทนการจับเหล่าโปเกมอนในป่า ซึ่งกลายเป็นกลไกหลักในการช่วยเหลือ ShadowPokemon ให้กลับคืนสู่สภาพปกติ กลไกนี้ ไม่เพียงทำให้การต่อสู้มีความหมาย แต่ยังเพิ่มชั้นเชิงทางกลยุทธ์
โดยผู้เล่นต้องตัดสินใจ ระหว่างการโจมตีเพื่อชนะ หรือต่อสู้เพื่อช่วยเหลือ โดยระบบกับวิธีเล่นเกมที่หยิบมาแนะนำ ทั้ง 2 เป็นระบบที่ทำให้เกม 2 ภาคนี้ แตกต่างจากเกมโปเกมอนภาคหลัก หรือซีรีส์แยกภาคอื่น ๆ ก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง

สิ่งที่น่าจับตามองต่อมา คือทำไม 2 ภาคนี้ ถึงยังถูกพูดถึงในฐานะเกมทดลองที่ดีที่สุด ของแฟรนไชส์โปเกมอน เพราะแม้จะไม่ใช่เกมภาคที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่เกมที่หยิบมาแนะนำทั้ง 2 กลับทิ้งร่องรอยสำคัญ ในประวัติศาสตร์ของซีรีส์เกมไว้ชัดเจน
ทั้งในแง่การออกแบบ การเล่าเรื่อง กับอารมณ์ของผู้เล่น ที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และจุดนี้เองที่ทำให้ 2 เกมนี้ ไม่ใช่เพียงการต่อสู้ในโลกโปเกมอนอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นการสำรวจความลึกของจิตใจ ที่แฟรนไชส์เกมโปเกมอน เคยกล้าเดินเข้าไปเพียงครั้งเดียว ในช่วงต้นปี 2000
ความโดดเด่นของเกมโปเกมอน ภาคโคลอสเซียม กับเกมภาคเอ็กซ์ดีดาร์คเนส คือการกล้าพลิกภาพลักษณ์ของแฟรนไชส์เกมที่เคยสดใส ให้กลายเป็นโลกที่จริงจัง และเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ทั้งสองเกมเปิดพื้นที่ให้ผู้เล่นสัมผัสมิติใหม่ของโปเกมอน ที่ไม่ได้เป็นสัตว์น่ารัก สำหรับการต่อสู้ อีกต่อไป
แต่กลับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกเปลี่ยนสภาพ และต้องการความช่วยเหลือ จากผู้เล่น ซึ่งระบบ ShadowPokemon กลายเป็นหัวใจของเกมทั้ง 2 ที่สะท้อนแนวคิดเรื่องการชำระล้างความมืด ซึ่งในเชิงสัญลักษณ์ คือการสำรวจด้านจิตใจของผู้เล่นเองด้วย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่โปเกมอน ถูกใช้เพื่อเล่าเรื่องราว
แทนการเป็นเพียงเครื่องมือในระบบต่อสู้ อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกมทั้งสองภาคนี้น่าจดจำ คือการมีเนื้อเรื่องเต็มรูปแบบ บนเครื่องเล่นเกมคอนโซล โดยเกมถูกออกแบบให้มีเส้นทางชัดเจน มีบทสนทนา ตัวละครหลัก และจังหวะอารมณ์คล้ายเกม RPG แบบดั้งเดิม
เกมโปเกมอน Colosseum ได้รับคำชมจากหลายสำนักเกม ว่าเป็นความพยายามที่กล้าหาญ ของ Nintendo ในการเปลี่ยนโทนการเล่าเรื่องราว ของแฟรนไชส์ โดยเกมภาคนี้ได้คะแนนเฉลี่ยราว 7.5 เต็ม 10 จากสื่อเกมทางยุโรป และกว่า 69% ระบุว่าเกมมีเนื้อเรื่องที่เข้มข้นเกินความคาดหมาย
แต่ก็มีข้อสังเกตว่าโครงสร้างการเล่น ยังคงเป็นเส้นตรงเกินไป จุดแข็งอยู่ที่การเล่าเรื่องผ่านตัวละคร กับระบบต่อสู้แบบคู่ ซึ่งเป็นระบบที่เพิ่งถูกนำมาใช้จริงในยุคนั้น และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ในภายหลัง ส่วนเกมโปเกมอน ภาคดาร์คเนส ที่เปิดตัวในปี 2005 ได้คะแนนสูงขึ้นเป็น 7.8 เต็ม 10 คะแนน
จากเว็บไซต์รีวิวเกมหลายที่ และได้รับเสียงตอบรับที่ดีกว่าภาคแรก ในด้านการขัดเกลาระบบมอนสเตอร์ด้านมืดให้ดูน่าสนใจขึ้น รวมถึงการออกแบบฉากต่อสู้ ที่หลากหลายกว่าเดิม ทำให้นักวิจารณ์จำนวนมากชื่นชมว่าภาคนี้ ทำให้โลกโปเกมอนดูมีมิติของความเป็นมนุษย์มากขึ้น
แม้เกม Pokemon ที่นำมาแนะนำจากเกมโปเกมอนด้านอื่น ๆ ทั้ง 2 เกม จะไม่ใช่เกมภาคที่ขายดีที่สุดของซีรีส์ แต่กลับเป็นผลงานที่สะท้อนเจตนาของผู้ผลิต ที่ต้องการขยายขอบเขตของคำว่าเกมโปเกมอน ให้มีความเข้มข้นขึ้น ทั้งในเชิงอารมณ์ต่อการเล่น และแนวคิดต่อการนำเสนอเกม ของทางผู้ผลิต
เกมโปเกมอนด้านอื่น ๆ ทั้งสองเกม เหมาะกับผู้เล่นที่ต้องการเห็นด้านจริงจังของโลกโปเกมอน หรือกลุ่มคนที่ชอบเกมแนวเนื้อเรื่อง มีเป้าหมายชัด และสนใจความขัดแย้ง มากกว่าการเก็บสะสมโปเกมอนให้ครบ และเหมาะกับแฟนเกม ที่อยากสัมผัสกับพัฒนาการของแนวคิดสนามต่อสู้ ในโลกความเป็นจริง
เกมโปเกมอนทั้ง 2 นี้ อาจไม่เหมาะกับผู้เล่นที่ชื่นชอบเกม Pokemon แบบโลกโอเพ่นเวิลด์ ที่ชอบการเดินทางผจญภัยแบบอิสระ หรือมีจังหวะผ่อนคลายแบบเกมโปเกมอน ภาคหลัก เพราะเกมทั้งสอง ถูกออกแบบให้เน้นเนื้อเรื่องแบบเส้นตรง และไม่มีการจับเหล่าโปเกมอน ในธรรมชาติ

