
สแกมเมอร์ ในกัมพูชา เงามืดของอุตสาหกรรมหลอกลวงยุคใหม่
- Good Day's
- 95 views

สแกมเมอร์ ในกัมพูชา ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ข่าวเกี่ยวกับสแกมในกัมพูชา กลายเป็น 1 ในประเด็นที่ร้อนแรงที่สุด ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหมือนกับในบทความ รัฐบาลเกาหลีใต้ ส่งตำรวจไปกัมพูชา ก่อนหน้านี้ ที่ภายในช่วงเวลาไม่กี่ปีต่อมา ทำให้ปริมาณคดีหลอกลวงออนไลน์ เกิดเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

เมื่อมองจากระยะไกล เรื่องสแกมเมอร์ในกัมพูชา อาจดูเหมือนปัญหาเฉพาะพื้นที่ แต่เมื่อขุดลึกลงไปจะเห็นเครือข่ายที่ซับซ้อน ที่กำลังเชื่อมโยงกัน ทั้งในระดับภูมิภาค และบนโลกออนไลน์ การเติบโตของขบวนการนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะเทคโนโลยี เพียงอย่างเดียว (17 ตุลาคม 2025) [1]
หากแต่เกิดจากช่องว่างทางเศรษฐกิจ กับกฎหมายที่เปิดโอกาสให้มิจฉาชีพ ใช้ประเทศหนึ่งเป็นฐาน และใช้ประเทศอื่น เป็นแหล่งหาคน หรือเหยื่อ การเข้าใจว่าระบบนี้เริ่มต้น กับดำเนินการมาอย่างไร จึงเป็นจุดเริ่มสำคัญของการทำความเข้าใจปัญหาทั้งหมด ที่เกิดขึ้นมาในปัจจุบัน
กัมพูชา เริ่มถูกพูดถึงในฐานะศูนย์กลางสแกมเมอร์ ตั้งแต่ช่วงปี 2019 ถึงปี 2020 เมื่อเกิดกระแสการย้ายฐาน ของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ จากจีนกับเมียนมา เข้ามาตั้งในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ อย่างปอยเปต และสีหนุวิลล์ พื้นที่เหล่านี้ มีพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็ว (15 ตุลาคม 2025) [2]
แต่การควบคุมทางกฎหมาย ยังไม่เข้มงวดมากนัก ทำให้กลุ่มทุนสีเทาสามารถเช่าตึก สร้างค่าย และใช้ Server ข้ามประเทศ เพื่อปกปิดต้นทางการหลอกลวงได้ อย่างแนบเนียน ภายในเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา เครือข่ายนี้ ขยายตัวจนกลายเป็นระบบเศรษฐกิจเงามืด
ที่มีจำนวนเงินหมุนเวียนมหาศาล โดยแทบไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง ซึ่งข้อมูลจากองค์กรสากลในปี 2023 ระบุว่ากว่า 62% ของคดีสแกมออนไลน์ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลผ่านเซิร์ฟเวอร์ ในกัมพูชาโดยตรง
เบื้องหลังข่าวคนไทย ถูกหลอกไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ อย่างประกาศงานออนไลน์ ที่เสนอรายได้สูงเกินจริง การกระทำแบบนี้ เริ่มชัดเจนตั้งแต่ปี 2021 เมื่อแพลตฟอร์มโซเชียลต่าง ๆ หรือตามหน้า Website ประกาศหางานต่าง ๆ กลายเป็นช่องทางหลัก (27 กันยายน 2025) [3]
โดยแผนล่อลวงเริ่มจากการส่งข้อความส่วนตัว ชวนไปทำงานต่างประเทศ พร้อมจัดการเอกสาร กับค่าเดินทางให้แบบครบจบ ซึ่งในความเป็นจริง คือการพาเหยื่อข้ามแดนไปยังสถานที่ ที่ถูกควบคุมโดยขบวนการมิจฉาชีพ และพอไปถึงโทรศัพท์จะถูกยึด รวมถึงเหยื่อจะต้องทำหน้าที่โทรหลอกคนอื่นต่อไป
สิ่งที่น่ากังวลคือขบวนการเหล่านี้ ไม่ได้หยุดแค่การใช้แรงงาน แต่ยังขยายสู่การค้าข้อมูลส่วนบุคคล ผ่านการเก็บข้อมูลบัตรประชาชน หมายเลขบัญชี และข้อมูลติดต่อ เพื่อขายต่อในตลาดมืด มีรายงานจากปี 2024 ว่าฐานข้อมูลผู้เสียหายชาวไทยที่รั่วไหล จากเครือข่ายสแกมเมอร์ มีจำนวนกว่า 250,000 รายชื่อ

เมื่อเทคโนโลยีเริ่มกลายเป็นเครื่องมือสร้าง กับเครื่องมือที่ใช้หลอกลวง โลกของมิจฉาชีพก็ขยายจากการพิมพ์ข้อความหลอกลวง ไปสู่การใช้ระบบอัจฉริยะที่เข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ ทำให้ทุกวันนี้ สแกมเมอร์ไม่ได้อาศัยแค่ความไวของนิ้ว
หรือความแนบเนียนของคำพูด อีกต่อไป แต่ใช้ข้อมูลมหาศาลจากโลกออนไลน์ มาประมวลผล เพื่อเลือกเหยื่อแบบเฉพาะเจาะจง และใช้ AI สร้างภาพ เสียง หรือสถานการณ์ที่สมจริง เกินกว่าคนทั่วไปจะจับผิดได้
ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัว กลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล มิจฉาชีพในโลกออนไลน์ จึงไม่ได้พึ่งแค่ความชำนาญในการพูดจาหลอกลวง อีกต่อไป แต่หันมาใช้ Big Data เป็นเครื่องมือหลักในการวิเคราะห์ และเลือกเป้าหมาย โดยตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา ตลาดมืดออนไลน์ ในแถบเอเชีย
เริ่มมีการซื้อขายข้อมูลผู้ใช้เพิ่มขึ้น อย่างเช่น เบอร์โทรศัพท์ หมายเลขบัญชีธนาคาร และพฤติกรรมการใช้งานโซเชียล โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ ที่มีระบบป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลยังไม่แข็งแรง ข้อมูลเหล่านี้ ถูกนำไปใช้สร้างโปรไฟล์ของเหยื่อ แต่ละคน เพื่อออกแบบข้อความหลอกลวงเฉพาะตัว
จนยากจะระแคะระคายว่าเป็นสแกมเมอร์ โดยรายงานจากหน่วยงานไซเบอร์ของสิงคโปร์ ในปี 2024 ระบุว่าแคมเปญสแกมเมอร์ที่ประสบความสำเร็จ มักจะใช้ข้อมูลที่ได้มาจากการรั่วไหลในอดีต เป็นฐานสำหรับการหลอกลวง เป็นหลัก
หากในอดีตการหลอกให้โอนเงิน อาจต้องใช้เวลา กับต้องใช้ความน่าเชื่อถือระดับหนึ่ง ปัจจุบันเทคโนโลยี AI ได้ทำให้สิ่งนั้นให้ง่ายขึ้น อย่างน่าตกใจ ด้วยการสร้างเสียงปลอมที่เลียนเสียงคนรู้จักได้ แทบสมบูรณ์แบบ จนกลายเป็นอาวุธใหม่ของสแกมเมอร์ยุคใหม่ ในปัจจุบัน
โดยข้อมูลเกี่ยวกับคดีหลอกโอนเงินส่วนใหญ่ พบว่าผู้ใช้งานถูกหลอกด้วยเสียงจำลอง มีเพิ่มขึ้นกว่า 38% ทั่วโลก ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่ ยืนยันว่าไม่ทันได้สงสัย เพราะเสียงปลอมมีทั้งน้ำเสียง อารมณ์ และสำเนียงที่ใกล้เคียงของจริง จนน่าขนลุก
เพียงการใช้คลิปเสียง จากการสร้างขึ้นมาด้วย AI และกรณีศึกษาที่โด่งดังที่สุด คือเหตุการณ์ในฮ่องกง เมื่อปี 2024 เมื่อบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง สูญเงินกว่า 25 ล้านดอลลาร์ หลังพนักงานได้รับสายจาก CEO ทั้งที่แท้จริงแล้ว เป็นเสียงจำลองที่สร้างขึ้นมา ด้วย AI
เมื่อพิจารณาภาพรวม ทั้งหมด จะเห็นว่าสแกมเมอร์ ไม่ได้เป็นกลุ่มอาชญากร ที่หลอกเงินจากเหยื่อ แต่เป็นธุรกิจเงามืดที่ผสานเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และจิตวิทยามนุษย์ไว้ ในโครงสร้างเดียวกัน การรู้เท่าทันกลโกง จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการระวังตัว แต่กลายเป็นการทำความเข้าใจโลกดิจิทัล สมัยใหม่ ในปัจจุบัน
เพราะหัวใจของการหลอกลวง ไม่ใช่เทคนิคที่ใช้ แต่เป็นความเข้าใจมนุษย์ ซึ่งสแกมเมอร์ยุคใหม่ ใช้ข้อมูลจาก Big Data และ AI มาช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมเหยื่อ อย่างละเอียด ตั้งแต่ความสนใจ รายได้ ไปจนถึงรูปแบบการสื่อสาร ในแต่ละแพลตฟอร์ม จึงทำให้ข้อความที่ส่งไปดูจริงเกินไป จนยากจะปฏิเสธ
เมื่อขบวนการสแกมเกอร์ ขยายจากการหลอกเอาเงิน สู่การล่อลวงแรงงาน ผ่านประกาศงานปลอม โลกออนไลน์ จึงกลายเป็นชายแดนเสมือน ที่เปิดทางให้การค้ามนุษย์ดำเนินได้ โดยไม่ต้องข้ามประเทศจริง เหยื่อจำนวนมาก ถูกหลอกให้ไปทำงาน ในกัมพูชา ก่อนถูกยึดอุปกรณ์ และบังคับให้โทรหลอกคนอื่นต่อ

