
รีวิว Pokemon บริลเลียนท์ เกมรีเมค ปี 2021 ในเจเนอเรชัน 8
- Good Day's
- 69 views

รีวิว Pokemon บริลเลียนท์ ซีรีส์เกมโปเกมอน เกมภาครีเมค ของเกมจากในบทความ รีวิว Pokemon ไดมอนด์เพิร์ล ก่อนหน้านี้ และเป็นเกมภาคเสริม ในแฟรนไชส์เกมโปเกมอน เจเนอเรชัน 8 อย่างเกมภาค Sword and Shield ที่เปิดตัวให้เล่นไปก่อนหน้า ในปี 2019

หาก Pokemon Sword & Shield คือเกมที่สร้างด้วยจุดประสงค์ใหม่ ให้ตอบโจทย์สำหรับเครื่องเล่นเกมยุคใหม่ ในยุคนั้น เกมภาคที่หยิบมารีวิวนี้ ก็เป็นเกมที่หันกลับไปมองเกมในแฟรนไชส์โปเกมอน จากอดีตอีกครั้ง ซึ่งไม่ได้เป็นการสร้างใหม่ทั้งหมด (7 กันยายน 2025) [1]
แต่เป็นการยกของเดิมขึ้นมาเช็ดฝุ่น ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ในยุคเครื่องเล่นเกม Switch และสิ่งนี้ เป็นจุดยืนทางศิลปะการสร้างเกม ที่ทีมพัฒนาเลือกจะยึดถือไว้ แม้รู้ว่ามีความเสี่ยงที่จะถูกมองว่า เกมภาคนี้ ไม่ใหม่มากพอก็ตาม
เกม Pokemon ภาคบริลเลียนท์ไดมอนด์ และไชนิ่งเพิร์ล ที่เปิดตัวให้เล่น วันที่ 19 พฤศจิกายน ปี 2021 เป็นเกมที่ถูกสร้างขึ้น ด้วยการมอบความทรงจำให้คนอื่นดูแล อย่างการเปลี่ยนบริษัทผู้พัฒนาเกม ซึ่งเป็นสิ่งที่เกมแฟรนไชส์โปเกมอน ไม่เคยเปลี่ยนบริษัทผู้ผลิตเกมมาก่อน (18 กันยายน 2025) [2]
โดยเกมภาครีเมคใหม่นี้ ถูกสร้างขึ้นมาจากบริษัท ILCA ด้วยการขัดเงาของเก่า ให้สามารถยืนอยู่ได้ บนเครื่องเกมยุคใหม่ แต่ยังคงรักษาอารมณ์ของต้นฉบับเดิม และปรับให้เกมใช้กล้องมุมสูง แบบเครื่องเล่นเกม DS ได้ รวมถึงยังคงสไตล์การเล่าเรื่อง ของเหล่าโปเกมอนเอาไว้ เหมือนเดิม
การตัดสินใจนี้ อาจดูย้อนยุคในสายตาผู้เล่นสมัยใหม่ แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจ ของทางผู้ผลิต ILCA ที่ได้มีการสานต่อคุณค่าทางจิตใจของแฟนเกม เพราะบางครั้ง สิ่งที่แฟนเกมต้องการ ไม่ใช่ความสดใหม่เสมอไป แต่เป็นการได้กลับไปในโลกเดิม ที่ผู้เล่นคุ้นเคย
เกมโปเกมอน บริลเลียนท์ Diamond and Shining Pearl นี้ ไม่ได้สร้างระบบการใหม่ที่ดูอลังการ ทั้งหมด แต่เลือกทำให้ของเดิม ดูมีชีวิตยิ่งขึ้นกว่าเดิมแทน ทุกองค์ประกอบจากเกม ในปี 2006 ที่หยิบนำเอามารีเมค อย่างเกมภาคไดมอนด์เพิร์ล ถูกนำกลับมาขัดเกลาใหม่ ด้วยการสัมผัสที่แตกต่างออกไป
การเดินทางในภูมิภาค Sinnoh ยังคงมีจังหวะช้า และให้อารมณ์สงบ แบบเกม RPG ยุคดั้งเดิม แต่ครั้งนี้ ผู้เล่นจะได้เห็นภาพ และเสียงที่มีความละเอียดมากขึ้น ตั้งแต่พื้นหิมะที่สะท้อนแสง ไปจนถึงเสียงฝีเท้าที่แตกต่างกัน ตามพื้นผิว ซึ่งทุกอย่างถูกเพิ่มคุณภาพ โดยไม่เพิ่มความซับซ้อนเข้ามา (2025) [3]
จนทำให้เกมโปเกมอนภาคนี้ กลายเป็นเกมภาคที่ถูกพูดถึงบ่อย ๆ ในเรื่องของความเป็นอิสระ ในโลกที่ถูกออกแบบมาอย่างจำกัด

เมื่อเข้าใจแนวคิด และวิธีที่ทีมผู้พัฒนาเกมชุดใหม่ เลือกจะขัดเงาโลกเดิม แทนการสร้างใหม่แล้ว สิ่งที่น่าสนใจต่อมา คือผลลัพธ์ของการตัดสินใจนั้น ส่งผลต่อประสบการณ์ผู้เล่นอย่างไร เพราะการรักษาความทรงจำเก่า ในเกมระดับตำนาน ไม่ได้หมายความว่าผู้เล่นทุกคน จะรู้สึกเหมือนกันเสมอไป
สิ่งที่ทำให้เกมภาคนี้ โดดเด่น และสิ่งที่เป็นจุดแข็งหลักของเกม ก็คือการเป็นเกมรีเมค ที่สามารถทำให้ความทรงจำเก่า ๆ กลายเป็นความทรงจำใหม่ ที่ผู้เล่นสามารถจับต้องได้ อีกครั้ง โดยเกมภาคบริลเลียนท์ ไดมอนด์และไชนิ่งเพิร์ล เลือกใช้ความซื่อสัตย์
ในการเล่าเรื่องเป็นหัวใจหลัก สำหรับการพัฒนา ทั้งหมด จึงเป็นจุดแข็งที่แทบไม่มีใครกล้าทำ ในการสร้างเกมใหม่ ออกมาวางจำหน่าย ในยุคที่ทุกเกมพยายามสร้างความยิ่งใหญ่ ด้วยการนำเสนอภาพกราฟิกแบบ 3D เต็มรูปแบบ แต่เกมภาคนี้
กลับเลือกคงโครงสร้างของเกม แบบดั้งเดิมเอาไว้ เพราะสิ่งเหล่านี้ ช่วยรักษาบรรยากาศที่ดูอบอุ่น แบบการเล่นเกมบนเครื่องเล่น DS ไว้ และเสริมด้วยระบบใหม่ อย่างระบบ Grand Underground ที่ปรับปรุงการออกสำรวจในพื้นที่ใหม่ ๆ และจับโปเกมอนได้อิสระ
แต่ในอีกด้านหนึ่ง การนำเกมภาคเดิมกลับมารีเมค ด้วยความต้องการอยากจะนำเสนอเรื่องราวเดิม ๆ เป็นหลัก สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกม ไม่ได้เพิ่มกลไกใหม่ หรือได้ขยายโลกในเกมให้ดูใหญ่ขึ้น ทำให้ผู้เล่นบางส่วน รู้สึกว่าเป็นเกมภาคเดิมที่นำมาปรับแต่ง ให้เล่นได้บนเครื่องเล่นเกมรุ่นใหม่มากกว่า
ความรู้สึกเหล่านี้ ส่งผลให้เกมได้รับกระแสในเชิงลบ และกว่า 68% ของผู้เล่นบนบล็อกรีวิว ระบุเอาไว้ว่าเกมอาจไม่เหมาะกับผู้เล่น ที่ต้องการความสดใหม่มากเท่าที่ควร รวมถึงการพัฒนาเกมภาคนี้ของทางผู้ผลิตใหม่ ยังคงขาดชั้นเชิงในเรื่องของการสร้างเกม ในแบบที่ Game Freak เคยทำเอาไว้ก่อนหน้า
สาเหตุที่หยิบเกมโปเกมอน BrilliantDiamond and ShiningPearl ภาคนี้มารีวิว เพราะอยากพิสูจน์ให้เห็นว่า บริษัทผู้ผลิตใหม่ที่เข้ามาสานต่อ งานสร้างเกมอันยิ่งใหญ่ ของแฟรนไชส์โปเกมอน จะสามารถสร้างต่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่ทางทีมผู้สร้างเดิมทำเอาไว้ ได้ดีมากน้อยแค่ไหน
Pokemon ภาค BrilliantDiamond และ ShiningPearl เหมาะกับผู้เล่นที่มองหาความเรียบง่าย ที่เต็มไปด้วยความหมาย มากกว่าความท้าทาย หรือความอลังการ ผู้เล่นกลุ่มนี้ มักเป็นแฟนยุคเก่าที่เติบโตมากับเกมของแฟรนไชส์ และต้องการกลับไปสัมผัสบรรยากาศเดิม โดยไม่ถูกทำลายด้วยระบบเกมยุคใหม่
โปเกมอน Brilliant Diamond กับ Shining Pearl อาจไม่ตอบโจทย์ผู้ที่คาดหวังความสดใหม่ ในระบบ หรือโครงสร้าง เพราะเกมนี้ ตั้งใจหยุดเวลาเอาไว้ในปี 2006 มากกว่าจะขยายโลกให้กว้างขึ้น ผู้เล่นสายแข่งขัน หรือสายสำรวจที่ชอบความอิสระ แบบแนว Open World จะรู้สึกว่าเกมภาคนี้ ยังขาดแรงดึงดูด

