
รีวิวโปเกมอน Super มิสทรี 2015 กับดันเจี้ยนอันโดดเด่น
- Good Day's
- 49 views

รีวิวโปเกมอน Super มิสทรี ที่เปิดตัวในปี 2015 พร้อมจำนวนโปเกมอน กว่า 720 ตัว และแนวทางเล่าเรื่องที่เข้มข้นขึ้น โดยเป็นเกมที่ทีมพัฒนา มุ่งสร้างประสบการณ์การเล่นที่ทำให้ผู้เล่น สามารถเป็นส่วนหนึ่งของโลก Pokemon ผ่านระบบคู่หู และธีมมิตรภาพได้โดดเด่น กว่าเกมโปเกมอนภาคก่อน ๆ

การเข้าใจที่มาเกมในแฟรนไชส์โปเกมอน และเจตนาที่ผู้พัฒนาตั้งใจถ่ายทอดออกมา จะช่วยให้เห็นภาพว่า Pokemon ภาคนี้ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อเป็นภาคต่อ ของเกมในบทความ รีวิวโปเกมอนมิสทรี Infinity แต่เป็นความพยายามที่จะขยายขอบเขตเนื้อหาให้ลึกกว่าเดิม (15 พฤศจิกายน 2025) [1]
เมื่อรู้ว่าจุดเริ่มต้นของภาคนี้ ต้องการแก้ข้อจำกัดเดิม และตัวเกมเองมุ่งนำเสนอธีมเรื่องมิตรภาพ กับการเป็นส่วนหนึ่งของโลกโปเกมอนอย่างจริงจัง ก็ทำให้การมององค์ประกอบที่เหลือ เช่นรูปแบบการเล่น และประสบการณ์ในดันเจี้ยน มีกรอบความคิดที่ชัดเจนมากขึ้น
จุดกำเนิดของ Pokemon Super Mystery Dungeon มาจากความตั้งใจของทีมพัฒนา Spike Chunsoft ที่ต้องการยกระดับซีรีส์นี้ หลังจากภาคก่อนหน้า เช่น Gates to Infinity เกมจากปี 2012 ได้รับเสียงวิจารณ์ว่ามีความลุ่มลึกไม่เพียงพอ สำหรับแฟนเกมยุคเก่า (20 พฤศจิกายน 2025) [2]
การกลับมาของเกมภาคนี้ ในปี 2015 จึงถูกวางเป้าให้เป็นการรีเซ็ตความคาดหวัง โดยเปิดทางให้ผู้เล่นเข้าถึงโปเกมอนมากถึง 720 ตัว ซึ่งในเวลานั้น ถือเป็นจำนวนที่ครอบคลุมแทบทั้งแฟรนไชส์ แนวคิดนี้ สะท้อนให้เห็นว่าการสร้างเกมภาคนี้ ไม่ใช่เพียงการสานต่อ แต่เป็นการขยายขอบเขตโลกของโปเกมอน
ในรูปแบบที่เกมภาคหลัก ไม่เคยทำมาก่อน เมื่อมองจากภาพรวมของซีรีส์ จุดเริ่มต้นของภาคนี้ ยังมีพื้นฐานมาจากความต้องการแก้จุดอ่อนเดิม อย่างเช่น ความจำกัดของคอนเทนต์ และโครงสร้างดันเจี้ยน ด้วยการเสริมระบบเรื่องราวที่เข้มข้นขึ้น และการสำรวจแบบสุ่ม ที่มีความหลากหลายกว่าเดิมเข้าไป
ตัวเกมภาคซูเปอร์มิสทรีดันเจี้ยน ต้องการให้ผู้เล่น สัมผัสถึงความหมายของการเป็นส่วนหนึ่ง ของโลกโปเกมอน มากกว่าจะเป็นเพียงผู้ควบคุมตัวละคร เห็นได้จากการเปลี่ยนผู้เล่นให้กลายเป็นโปเกมอน ตั้งแต่เริ่มเกม และสร้างเหตุการณ์ที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร กับพาร์ทเนอร์ (2025) [3]
จุดนี้เป็นหัวใจสำคัญของภาคนี้ เพราะเรื่องราวพัฒนาไปตามความผูกพัน ไม่ใช่เพียงความก้าวหน้าในดันเจี้ยน การเล่าเรื่องที่เข้มข้นกว่าภาคก่อนหน้า รวมถึงความขัดแย้งระดับโลก อย่างภัยคุกคาม ของ Dark Matter ทำให้เกมถูกออกแบบให้มีน้ำหนัก ด้านอารมณ์มากขึ้น
ทั้งในเชิงมิตรภาพ การเสียสละ และความหวัง ซึ่งเป็นธีมที่ซีรีส์นี้ถ่ายทอดได้โดดเด่น มาโดยตลอด อีกหนึ่งเจตนาสำคัญ คือการสร้างประสบการณ์การเล่น ที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าตัวเลือกของผู้เล่นนั้น มีความหมาย ผ่านระบบพาร์ทเนอร์ การเลือกโปเกมอน และรูปแบบการสำรวจดันเจี้ยนแบบสุ่ม

การมองว่าแนวคิดเหล่านั้น ถูกนำไปใช้จริงในรูปแบบการเล่นอย่างไร และผู้เล่นรู้สึกยังไง เมื่อได้สัมผัสประสบการณ์การเล่น ที่ผสมระหว่างการสำรวจดันเจี้ยนแบบสุ่ม กับเนื้อเรื่องที่เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม การจะเห็นคุณค่าของเกมโปเกมอนภาคนี้ได้ชัดเจน
จำเป็นต้องดูทั้งโครงสร้าง Gameplay และกระแสตอบรับหลังเปิดตัว ที่จะสะท้อนว่าความตั้งใจของทีมพัฒนา ไปถึงจุดที่แฟนเกม และนักวิจารณ์คาดหวังหรือไม่ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ 2 หัวข้อต่อไปนี้ มีบทบาทสำคัญในการทำความเข้าใจภาพรวม ของเกมโปเกมอนภาคนี้ อย่างแท้จริง
รูปแบบการเล่นเกมโปเกมอน ภาคนี้ ยังคงยืนอยู่บนแกนของเกมแนว Roguelike แต่เพิ่มเติมความลึกทางอารมณ์ และความยืดหยุ่นในการจัดทีมมากขึ้น ผู้เล่นจะได้เริ่มต้นในฐานะมนุษย์ที่กลายเป็นโปเกมอน ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นของเกมซีรีส์นี้ ที่จะช่วยสร้างความผูกพันระหว่างผู้เล่น กับโลกในเกม
ระบบพาร์ทเนอร์ที่เลือกได้ตั้งแต่ต้น ยังทำให้ทุกการสำรวจ มีความหมายในเชิงคู่หู มากกว่าการลุยเดี่ยว และดันเจี้ยนที่ถูกสุ่มสร้างใหม่ทุกรอบ ก็เพิ่มทั้งความคาดเดาไม่ได้ และความรู้สึกว่าทุกครั้ง คือการสำรวจครั้งแรก แม้เกม Pokemon ภาคซูเปอร์มิสทรีดันเจี้ยนนี้ จะยังมีจังหวะคงที่แบบเทิร์นเบส
แต่การใช้พื้นที่การวางตำแหน่ง และการจัดท่าทางต่อสู้ ให้สอดคล้องกับคู่หู คือสิ่งที่เพิ่มระดับความคิดเชิงกลยุทธ์ให้เกมภาคนี้เด่นชัด กว่าหลายภาคก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ความสุ่มของดันเจี้ยน และโครงสร้างแบบเดิม ที่มีมาตั้งแต่ซีรีส์เกมยุคแรก ก็อาจยังทำให้ผู้เล่นเผชิญความซ้ำซ้อน ในบางพื้นที่
หลังการเปิดตัว กระแสตอบรับของเกม สะท้อนความแตกต่างของกลุ่มผู้เล่น 2 กลุ่ม ได้อย่างชัดเจน ฝั่งแฟนเกมต่างชื่นชมการที่ภาคนี้ รองรับโปเกมอนมากถึง 720 ตัว ซึ่งในปี 2015 ถือว่าเป็นขอบเขตที่กว้างที่สุด ของแฟรนไชส์เกมโปเกมอน ซึ่งผู้เล่นจำนวนมากมองว่าเกมภาคนี้ สามารถนำอารมณ์แฟนตาซี
และความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร กลับมาสู่ซีรีส์ได้อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะฉากสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ DarkMatter ซึ่งทำให้เนื้อเรื่องมีมิติลึกขึ้น กว่าเกมภาคก่อน ๆ ความประทับใจนี้ สะท้อนให้เห็นในคะแนนผู้ใช้งาน บน Metacritic ที่มีสัดส่วนความพึงพอใจสูงถึง 75%
ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนฐานแฟนเกมที่รักเนื้อเรื่อง และบรรยากาศของซีรีส์นี้อย่างแท้จริง ในทางกลับกัน นักวิจารณ์สื่อให้มุมมองว่าเกมภาคนี้ อยู่ในระดับกลาง รวมถึงตัวเกมก็ได้รับคำชม ด้านเนื้อเรื่องที่แข็งแรงขึ้นอย่างชัดเจน แต่ก็ยังถูกวิจารณ์เรื่องจังหวะการเล่นในบางช่วง และความซ้ำซ้อนของดันเจี้ยน
รีวิวโปเกมอน ซูเปอร์ มิสทรี เกมที่ถูกมองว่าแข็งแรงด้านบรรยากาศ และความผูกพันของตัวละคร แต่ยังมีพื้นที่ให้พัฒนาระบบการเล่นต่อ ในอนาคต ตำแหน่งของเกมภาคนี้ จึงชัดเจนว่าเป็นเกมภาคที่เล่าเรื่องดีที่สุด บนเครื่องเล่นเกมยุค 3DS แม้ยังไม่สามารถก้าวข้ามกรอบดั้งเดิม ของเกมในซีรีส์ได้เต็มตัว
จุดเด่นของเกมภาคนี้ อยู่ที่การผสมผสานระหว่างจำนวนโปเกมอน ที่รองรับได้หลายตัวละคร กับการเล่าเรื่องที่เข้มข้นที่สุดภาคหนึ่งของซีรีส์ ซึ่งเชื่อมโยงกับความตั้งใจของทีมพัฒนา ที่ต้องการยกระดับอารมณ์ของผู้เล่น มากกว่าพึ่งพาเพียงโครงสร้างดันเจี้ยน แบบสุ่ม เหมือนเกมภาคเดิม ๆ
แม้เกมภาคนี้ จะมีจุดแข็งด้านเนื้อเรื่อง และขอบเขตของ Pokemon ที่กว้างขึ้น แต่สิ่งที่ผู้เล่นพบมากที่สุด ยังคงเป็นปัญหาดั้งเดิมของเกมในซีรีส์นี้ นั่นก็คือความซ้ำซ้อนของดันเจี้ยน และจังหวะเกมที่ยืด ในบางช่วง สิ่งเหล่านี้ ทำให้ถูกมองว่าเกมนี้ แข็งแรงด้านอารมณ์ แต่ยังคงมีข้อจำกัดในจังหวะการเล่น

