
รีวิวโปเกมอนสเตเดียม 2 เกมภาคต่อ เกม Pokemon แนววางแผน
- Good Day's
- 165 views

รีวิวโปเกมอนสเตเดียม 2 จากปี 2000 ซีรีส์เกมแนววางแผน ภาคต่อของเกมในบทความ รีวิวโปเกมอน สเตเดียม ก่อนหน้านี้ ที่เปิดตัวในปี 1998 เมื่อเกมภาคแรกได้พิสูจน์แล้ว ว่าโปเกมอนสามารถมีชีวิต ในโลก 3D ได้จริง คำถามต่อมาของบริษัทผู้ผลิต คือจะทำอย่างไรให้โลกนั้นเติบโตได้ต่อไป

รีวิวโปเกมอนสเตเดียม 2 เมื่อภาคแรก จากแฟรนไชส์โปเกมอน ประสบความสำเร็จ ในการปลุกโปเกมอนให้มีชีวิต บนจอ 3D ทางบริษัท Nintendo จึงเผชิญกับคำถามใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม คือการจะทำอย่างไรให้โลกที่สร้างขึ้นมานั้น สามารถเติบโต ไปพร้อมกับแฟน ๆ ได้ (24 ตุลาคม 2025) [1]
คำตอบคือการสร้างเกมภาคต่อ ที่ไม่ใช่เพียงการเพิ่มตัวละคร หรือปรับกราฟิก แต่เป็นการต่อสายสัมพันธ์ของเกมในแต่ละยุค ให้ดูแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และสิ่งนี้เอง ที่ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเกมโปเกมอนสเตเดียม ภาคที่สอง เกมที่เกิดขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ว่าเกมยุค Kanto และ Johto สามารถอยู่ร่วมกันได้ ในเกมเดียว
หลังจากเกมภาคแรก พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าโปเกมอน สามารถมีชีวิตบนจอทีวีได้จริง ทีมพัฒนา HAL Laboratory และ Nintendo จึงตัดสินใจสร้าง Pokemon Stadium ภาคต่อขึ้นมา เพื่อยกระดับแนวคิดเดิมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเปิดตัวในวันที่ 14 ธันวาคม ปี 2000 ในประเทศญี่ปุ่น (27 กันยายน 2025) [2]
และขยายเปิดตัวให้เล่นทั่วโลก ในปี 2001 เพื่อรองรับโปเกมอน จากซีรีส์เกมโปเกมอน Generation II อย่างที่เขียนไปในบทความ แนะนำโปเกมอน รุ่นสอง สาม ก่อนหน้านี้ ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง บนเครื่องเล่น Game Boy Color โดยจุดประสงค์หลักของทีมพัฒนา ไม่ใช่การเปลี่ยนสูตรสำเร็จ
แต่คือการเชื่อมต่อโลกเก่า ของเกมภาคแรก กับโลกใบใหม่ ของภูมิภาค Johto ให้ผู้เล่นได้สัมผัสโปเกมอนได้มากกว่า 251 ตัว ในรูปแบบ 3D แบบเต็มรูปแบบ และสิ่งที่ทำให้ Stadium ภาคที่ 2 โดดเด่นในเชิงเทคนิค คือการพัฒนาโมเดลโปเกมอน ให้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 40%
PokemonStadium 2 ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อแทนที่ภาคแรก แต่เพื่อทำให้โลกของเกม ที่พัฒนาขึ้นมาก่อนหน้า ดูสมบูรณ์ขึ้นกว่าเดิม เกมภาคนี้ ต้องการสื่อสารถึงความต่อเนื่องของเวลา ในจักรวาลโปเกมอน ที่ผู้เล่นจากยุค Red และ Blue สามารถยืนอยู่บนเวทีเดียว กับผู้เล่นจากยุค Gold และ Silver ได้
โดยไม่มีเส้นแบ่งความต่าง ด้วยจำนวนโปเกมอนที่เพิ่มขึ้น ระบบการต่อสู้ที่สมดุลขึ้น และสนามแข่งขันที่ออกแบบใหม่ ทั้งหมด เกมจึงทำหน้าที่เสมือนภาพสะท้อนของความก้าวหน้า ของโลกโปเกมอน มากกว่าการนำเสนอสิ่งใหม่ ให้ตื่นเต้นชั่วคราว (2025) [3]
นอกจากนี้ เกมภาคนี้ ยังพยายามถ่ายทอดแนวคิดว่าการเติบโตของผู้เล่น คือการเติบโตของเกม ระบบการจัดทีม การดูค่าสถานะ และการวางแผนก่อนต่อสู้ ถูกขยายให้มีรายละเอียดเชิงกลยุทธ์มากขึ้น เพื่อรองรับผู้เล่นที่เริ่มมองการต่อสู้ เป็นการแข่งขันมากกว่าแค่การเล่น เพื่อความสนุก

เมื่อเข้าใจแล้วว่าเกมภาคนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสะพานเชื่อมเกม ระหว่าง 2 ยุค ของแฟรนไชส์เกมโปเกมอน คำถามต่อมาคือแล้วเกม มอบประสบการณ์ให้กับผู้เล่น ในช่วงเวลานั้นเช่นไร เพราะการจะรักษาเสน่ห์ของภาคแรก พร้อมขยายขอบเขตให้ครอบคลุม เกมในเจเนอเรชันใหม่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย
ทีมพัฒนาต้องหาวิธีทำให้เกม ยังคงสนุกสำหรับแฟนเกมรุ่นเดิม แต่ก็ไม่ซ้ำซากสำหรับผู้เล่นรุ่นใหม่ ที่คุ้นเคยกับระบบของเกมโปเกมอน ภาคหลัง ๆ อยู่แล้ว โดยสิ่งเหล่านี้ ถูกตอบผ่านรูปแบบการเล่น และเสียงสะท้อนจากผู้เล่นจริง ที่กำลังจะได้อ่านต่อ ตามเนื้อหาด้านล่างนี้
เกม PokemonStadium ภาค 2 ยังคงใช้โครงสร้างการเล่นแบบเดิม จากเกมภาคแรก แต่เพิ่มความลึกเชิงระบบ และเพิ่มความหลากหลายของเนื้อหาเข้าไป โหมดหลักอย่าง Stadium Mode กลับมาพร้อมการแข่งขัน ในการลงแข่งขันเพื่อชิงถ้วยรางวัลใหม่ ที่แบ่งตามเลเวล และประเภทของโปเกมอน
ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เล่นฝึกกลยุทธ์ แบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น การวางแผน จึงไม่ใช่แค่การเลือกตัวที่เก่งที่สุด แต่ต้องคิดถึงความสมดุลของทีม และจังหวะการสลับตัวในแต่ละเทิร์น อย่างรอบคอบ ความท้าทายเหล่านี้ ทำให้เกมมีมิติของกลยุทธ์ ที่ผู้เล่นต้องออกแบบเอง มากกว่าการพึ่งดวง หรือพึ่งเลเวลอย่างเดียว
จนทาง Famitsu รายงานในปี 2001 ว่ากว่า 65% ของผู้เล่นในประเทศญี่ปุ่น กลับมาเล่นเกมนี้ซ้ำ เพื่อโหมดมินิเกมโดยเฉพาะ ทำให้เกมนี้ ไม่ได้มีดีแค่การแข่งขัน แต่ยังกลายเป็นพื้นที่ของความผ่อนคลาย และสร้างความทรงจำร่วมให้กับผู้เล่น ในยุคที่เกมยังไม่มีระบบออนไลน์ เหมือนในปัจจุบัน
เสียงตอบรับของเกมภาคนี้ ในช่วงเปิดตัวจัดอยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมาก ทาง IGN ให้คะแนน 7.5/10 โดยชื่นชมในคุณภาพของภาพ เสียง และระบบต่อสู้ที่สมดุล กว่าภาคแรก หลายคนมองว่าเกมนี้ คือเวอร์ชันสมบูรณ์ของเกมโปเกมอน Stadium ที่รวมทุกอย่างจากเกมภาคก่อน
แล้วปรับให้เข้ากับผู้เล่นยุคใหม่ โดยผู้เล่นยังสามารถโอนโปเกมอน จากเครื่องเล่น GameBoy Color มาต่อสู้ได้เหมือนเดิม ซึ่งในยุคปี 2000 นับว่าเป็นฟีเจอร์ที่ล้ำสมัย และเป็นสะพานเชื่อม 2 แพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในขณะเดียวกัน บทวิจารณ์จากผู้เล่นทั่วไป เผยให้เห็นความผูกพัน มากกว่าการใช้เทคนิค หลายคนกล่าวว่าเกมนี้ ทำให้โปเกมอนที่เราเลี้ยงมีที่ยืนในสนามจริง และกลายเป็นเกมที่ผู้คน เปิดเล่นร่วมกับครอบครัวมากที่สุด ในยุคนั้น
PokemonStadium 2 คือบทสรุปที่สมบูรณ์ของเกม บน Nintendo 64 เกมนี้ไม่ได้มุ่งสร้างสิ่งใหม่ แต่เติมเต็มสิ่งที่ภาคแรกเริ่มไว้ ให้ครบถ้วน แสดงให้เห็นว่าความต่อเนื่อง ของโลกเกมโปเกมอนสำคัญพอ ๆ กับนวัตกรรม และความผูกพันของผู้เล่น ในยุคนั้น และสามารถกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเกมได้จริง
เกมภาคนี้โดดเด่น เพราะเป็นเกมที่ทำให้ความต่อเนื่อง กลายเป็นสิ่งจับต้องได้ เกมไม่ได้สร้างความตื่นเต้น ด้วยระบบใหม่ แต่ใช้ความละเอียด และความเข้าใจ เป็นจุดแข็ง อีกทั้งการปรับสมดุลของระบบต่อสู้ และภาพแอนิเมชันที่ลื่นกว่าเดิม แสดงถึงความตั้งใจ ในการพัฒนาเกมของผู้ผลิต อย่างแท้จริง
ความแข็งแกร่งทางเทคนิค และความสมบูรณ์ กลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะยังไม่สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมได้ เกมยังคงไม่มีโหมดเนื้อเรื่อง หรือความต่อเนื่องของการผจญภัย ที่ดึงผู้เล่นให้อยู่กับเกมได้นาน นั่นทำให้ภาคนี้ โดดเด่นในฐานะเกมแห่งความสมบูรณ์ แต่ไม่ถึงขั้นเป็นเกมแห่งการค้นพบใหม่

