รีวิวโปเกมอนมิสทรี Infinity การเดินทางของเกมภาคอินฟินิตี้

รีวิวโปเกมอนมิสทรี Infinity

รีวิวโปเกมอนมิสทรี Infinity ถูกวางให้เป็นภาคที่พาซีรีส์ Mystery Dungeon อย่างในบทความ รีวิวโปเกมอนมิสทรี Advance ก่อนหน้า ให้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของเครื่องเล่น 3DS ซึ่งเป็นเวลาที่ทีมพัฒนา ต้องเลือกการรักษาความดั้งเดิมเอาไว้ หรือจะขยับเข้าสู่ระบบ 3 มิติ ที่เปิดความเป็นไปได้ใหม่ ทั้งหมด

  • จุดเริ่มต้นเกมภาคนี้ และความตั้งใจของผู้สร้าง
  • รูปแบบการเล่นเกม เบื้องต้น และกระแสตอบรับ

รีวิวโปเกมอนมิสทรี Infinity ที่มาเกมภาคอินฟินิตี้

รีวิวโปเกมอนมิสทรี Infinity

โปเกมอนมิสทรี Infinity จากแฟรนไชส์ Pokemon ถือกำเนิดขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเกม ที่กำลังผันตัวจากโลกเกมแบบดั้งเดิม เข้าสู่ยุค 3 มิติของเครื่องเล่น 3DS ทำให้เส้นแบ่งของการรักษารากฐานเดิม และการทดลองแนวใหม่ กลายเป็นจุดชี้ขาดสำคัญของโปรเจกต์ (15 พฤศจิกายน 2025) [1]

การเข้าใจที่มาของการพัฒนา และเหตุผลเบื้องหลัง ของการปรับระบบหลายอย่างนี้ จึงช่วยเปิดภาพรวมว่าภาคอินฟินิตี้ ที่เปิดตัวให้เล่นในปี 2012 ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อสานต่อสูตรสำเร็จเดิม เพียงเท่านั้น

จุดเริ่มต้นของการพัฒนาเกม ภาคอินฟินิตี้

การสร้างเกม Pokemon MysteryInfinity เกิดขึ้นท่ามกลางช่วงเปลี่ยนผ่าน ของเกมโปเกมอนในปี 2011 ซึ่งเป็นเวลาที่ทีมงานต้องตัดสินใจ ว่าจะเดินต่อบนรากฐานเดิมของเกมภาคก่อน หรือจะใช้ระบบ 3D ของเครื่องเล่นเกมนินเท็นโด 3DS เป็นฐานการสร้างแนวทางใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม (2 พฤศจิกายน 2025) [2]

แนวโน้มในตลาดยุคนั้น ผลักให้ซีรีส์เกมโปเกมอน ต้องเริ่มลดการพึ่งภาพแบบ 2D และต้องขยับเข้าสู่โมเดลแบบ 3 มิติที่ให้ภาพที่สมจริงกว่า ทีมพัฒนา จึงเริ่มต้นด้วยการทดลองต้นแบบหลายเวอร์ชัน ทั้งรูปแบบการเดินทางในดันเจี้ยน มุมกล้อง และระบบโหลดพื้นที่ต่าง ๆ 

เพื่อดูว่าโครงสร้างที่ชัดเจนในเกมภาคเก่า จะสามารถเปลี่ยนตัวเอง ไปอยู่ในแพลตฟอร์มใหม่ได้ดี มากน้อยเพียงใด การทดลองที่ยาวนานนี้ จึงได้ข้อสรุปว่าโปรเจกต์ Infinity จะเป็นเกมมีโทนที่ชัดว่าเป็นภาคทดลอง ด้วยการเป็นเกมภาคต่อ ที่จะเน้นการเล่าเนื้อหาใหญ่ ๆ แทน

ความตั้งใจของผู้ผลิต ที่ต้องการนำเสนอเกมนี้ออกมา

ผู้ผลิตตั้งใจใช้เกมภาคอินฟินิตี้ เป็นประตูแรกของเกมที่กำลังจะเกิดขึ้นในยุคใหม่ มากกว่าจะเป็นเกมภาคที่ออกแบบมา เพื่อสานต่อโทนอันเข้มข้น ของภาค Sky โดยจุดยืนนี้ ถูกสะท้อนตั้งแต่การเลือกรูปแบบงานภาพ ที่เน้นไปในโทนความอบอุ่น และการมีระบบเสียงดนตรีที่เน้นอารมณ์บวกมากกว่า

รวมถึงการลดความซับซ้อนของระบบบางส่วนลง เพื่อเปิดทางให้ผู้เล่นรุ่นใหม่เข้าถึงเกมได้ง่ายขึ้น นั่นหมายความว่าเป้าหมาย ไม่ได้อยู่ที่การสร้างความลึกของระบบการเล่นแบบเดิม แต่อยู่ที่การทำให้เกมสามารถเข้าสู่โลก 3D ได้อย่างราบรื่นมากที่สุด (2025) [3]

การตัดสินใจลดจำนวนโปเกมอนเริ่มต้น และปรับความยากให้อ่อนลง จึงเป็นผลลัพธ์ของเจตนาที่ต้องการให้เป็นซีรีส์เกม ที่จะต้องเริ่มต้นใหม่ บนเครื่อง 3DS มากกว่าการวางภาคนี้ เป็นบททดสอบความแข็งแกร่งเชิงระบบของเครื่องเล่นเกมรุ่นเก่า อย่างเครื่องเกมนินเท็นโด DS

พื้นฐานการเล่นเกมโปเกมอนภาคนี้ และกระแสตอบรับ

รีวิวโปเกมอนมิสทรี Infinity

เมื่อเห็นภาพรวมของการพัฒนา และความตั้งใจของทีมงานแล้ว ขั้นต่อไปคือการมองเกมภาคนี้ ผ่านตัวเกมจริงว่าระบบที่ทีมงานผลักดัน ในยุค 3DS สามารถทำงานได้อย่างที่หวัง หรือไม่ การสำรวจจังหวะการเล่น กับการผสานเทคโนโลยี AR และการจัดวางสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ

จึงกลายเป็นพื้นที่พิสูจน์แนวคิดทั้งหมด ที่วางไว้ตั้งแต่ช่วงต้นโปรเจกต์ และหลังจากเกมถูกส่งต่อให้ผู้เล่น ความเคลื่อนไหวของเสียงตอบรับ ก็สะท้อนสิ่งต่าง ๆ กลับมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน อย่างการกล่าวถึงสิ่งที่เกมภาคนี้ทำได้สำเร็จ และสิ่งที่ยังคงต้องขัดเกลา เพื่อให้เกมดีขึ้นในอนาคต

รูปแบบการเล่นเกมโปเกมอน ภาคอินฟินิตี้

การเล่นเกมภาคอินฟินิตี้ ถูกวางให้เป็นการสืบทอดจังหวะสำรวจ แบบ Mystery Dungeon แต่เพิ่มมิติความเป็นโลกที่ผู้เล่น จะต้องปรับตัวมากขึ้น ตามความสามารถของเครื่องเล่นเกม 3DS โดยโครงสร้างดันเจี้ยนยังคงอิงระบบสุ่ม แต่เกมภาคนี้ เพิ่มเงื่อนไขให้สภาพแวดล้อม ให้มีอิทธิพลต่อการต่อสู้

อย่างเช่น ทางแคบที่ลดความแม่นยำ หรือโซนแสงจาง ที่อาจทำให้ศัตรู กล้าเข้าหาผู้เล่นเร็วกว่าปกติ เพื่อสร้างจังหวะที่ไม่แน่นอน ตั้งแต่ต้นจนจบดันเจี้ยน และในขณะเดียวกัน ระบบ AR ที่ถูกยกระดับจาก Gates to Infinity ทำให้ผู้เล่นใช้การสแกนวัตถุ ในโลกจริง เพื่อเปิดเส้นทางสำรวจใหม่ได้

ซึ่งช่วยเสริมธีมของเกม ที่มอบความรู้สึกว่าเป็นพื้นที่ ที่ขยายตัวอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ถูกจำกัดแค่เนื้อหาของเกม ในด้านการต่อสู้ เกมนี้ คงพื้นฐานเทิร์นเบสของซีรีส์ไว้ครบถ้วน แต่ทีมพัฒนาออกแบบให้จังหวะต่อสู้ตอบสนองเร็วขึ้น ซึ่งช่วยให้ผู้เล่นต้องประเมินภัยอันตรายต่าง ๆ ควบคู่กับแผนต่อสู้อยู่เสมอ

กระแสตอบรับ จากเหล่าแฟนเกมโปเกมอน

หลังวางจำหน่าย ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ปี 2012 ในประเทศญี่ปุ่น และเปิดตัวให้เล่นทั่วยุโรป ในปี 2013 กระแสตอบรับของแฟนเกม สะท้อนความรู้สึกแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มคล้ายกับภาคก่อน บางกลุ่มราว ๆ 65% ชื่นชมความพยายาม ในการยกระดับงานภาพ และความอบอุ่นของเนื้อเรื่อง

ซึ่งช่วยให้เกมภาคอินฟินิตี้ ดูเข้าถึงง่ายกว่าหลายภาคก่อนหน้า โดยเฉพาะการใช้ Magnagate และเส้นทางดันเจี้ยน ที่เกิดจากระบบ AR ที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ แต่ในอีกด้านจากแฟนเกมบางส่วนราว ๆ 35% ยังมองว่าระบบบางอย่างถูกลดทอนความซับซ้อน ทำให้ความท้าทายถูกลดเนื้อหาลงไป

ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้เกมภาคนี้ กลายเป็นเกมภาคสำคัญในลำดับเหตุการณ์เรื่องราวต่าง ๆ ของเกมในซีรีส์โปเกมอน แม้จะไม่ใช่ภาคที่ได้รับคำชมกว้างขวางที่สุด แต่เป็นภาคที่ช่วยขยายขอบเขตของเดิม ให้เดินหน้าต่อได้ บนเครื่องเล่นเกมยุค 3D

สรุป รีวิวเกมโปเกมอนมิสทรี อินฟินิตี้ จากปี 2012

โปเกมอนมิสทรีอินฟินิตี้นี้ เกิดขึ้นเพื่อทดสอบทิศทางใหม่ มากกว่าการใช้สูตรการเล่นเดิม ในการพัฒนา ด้วยการเพิ่ม ระบบ AR และ Magnagate เข้าไป ที่จะช่วยเปิดประตูให้ดันเจี้ยนในเกม มีจังหวะที่ทันสมัยมากขึ้น และนำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ไปผสมกับงานภาพ 3D กับโทนเรื่องที่ทำให้เกมเข้าถึงได้ง่ายกว่า

จุดเด่นของเกมโปเกมอนมิสทรี ภาคอินฟินิตี้นี้ คือสิ่งใด?

จุดเด่นของโปเกมอน MysteryInfinity อยู่ที่ความสามารถในการผสานเทคโนโลยี ของเครื่องเล่นเกม 3DS ให้เข้ากับเกมแนวสำรวจแบบดันเจี้ยนได้ อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะระบบ Magnagate และการสแกนวัตถุจริงที่ช่วยขยายดันเจี้ยน ให้รู้สึกถึงความไม่มีที่สิ้นสุด

จุดด้อยของโปเกมอนมิสทรี ภาคอินฟินิตี้นี้ คืออะไร?

ความตั้งใจลดความซับซ้อน เพื่อให้เข้าถึงง่าย ทำให้เกม Pokemon ภาคนี้ เสียจุดแข็งบางส่วน ที่แฟนซีรีส์คาดหวังไป อย่างเช่น ความลึกของระบบต่อสู้ และระดับความท้าทาย ที่ไม่เข้มข้นเหมือนเมื่อก่อน นอกจากนี้ จำนวนโปเกมอนเริ่มต้นที่น้อยกว่าภาคก่อน ทำให้แฟนเดิมรู้สึกว่าภาคนี้ เดินหน้าไปไม่สุดทาง

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง