
รัฐบาลเกาหลีใต้ ส่งตำรวจไปกัมพูชา กับปฏิบัติการข้ามชาติ
- Good Day's
- 86 views

รัฐบาลเกาหลีใต้ ส่งตำรวจไปกัมพูชา เพราะอะไร เรื่องราวทั้งหมด เกิดขึ้นช่วงต้นปี 2024 ที่ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนโยบาย ในเกาหลีใต้ เมื่อรัฐบาลประกาศส่งหน่วยตำรวจพิเศษ ข้ามชาติ ไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อช่วยเหลือพลเมืองที่ตกเป็นเหยื่อ ในค่ายสแกมเมอร์ และเครือข่ายค้ามนุษย์

แม้การส่งตำรวจไปต่างประเทศ จะดูเหมือนการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ ของรัฐบาล แต่เบื้องหลังกลับเป็นแรงสะสม จากภายในประเทศที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น ตลอดปี 2023 เมื่อเสียงของประชาชน สื่อ และภาคการเมือง เริ่มตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบของรัฐ ต่อพลเมือง ในต่างแดน
ปัญหาการหลอกลวง ในค่ายสแกมเมอร์ที่กัมพูชา เหมือนที่เคยเขียนไป ในบทความ สแกมเมอร์ ในกัมพูชา ก่อนหน้านี้ ที่ไม่เพียงสร้างความสูญเสียเชิงเศรษฐกิจ แต่ยังกลายเป็นบาดแผลทางสังคม ที่สั่นสะเทือนจิตใจของคน ทั้งประเทศ (17 ตุลาคม 2025) [1]
แรงสั่นสะเทือนครั้งแรก เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ปี 2023 เมื่อสื่อเกาหลีใต้ รายงานว่ามีพลเมืองกว่า 400 คน ถูกกักตัว และบังคับให้ทำงานในค่ายสแกมเมอร์ ภายในกัมพูชา ภาพวิดีโอจากญาติผู้สูญหาย และบทสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิต ที่หลบหนีกลับมาได้ จุดกระแสความไม่พอใจอย่างรุนแรง บนโลกออนไลน์
ซึ่งแฮชแท็ก BringThemHome ได้กลายเป็นกระแส อันดับ 1 ในประเทศ ภายในไม่ถึง 24 ชั่วโมง ประชาชนจำนวนมาก ตั้งคำถามถึงความล่าช้าของรัฐบาล และเรียกร้องให้มีปฏิบัติการกู้ชีพ ข้ามชาติ เพื่อช่วยเหลือพลเมืองที่ยังติดอยู่ ในต่างแดน การเคลื่อนไหวนี้ ไม่ได้มีเพียงอารมณ์ร่วม
แต่ยังสะท้อนถึงพลังของสื่อสังคม ที่กลายเป็นแรงกดดันทางการเมือง ในยุคดิจิทัลสมัยใหม่ โดยแรงกดดัน จากประชาชนได้ขยายตัว ไปจนถึงการชุมนุมหน้ารัฐสภา ในกรุงโซล ช่วงต้นปี 2024 ทำให้รัฐบาลต้องจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ ด้านความมั่นคงดิจิทัล และสิทธิมนุษยชนขึ้นมา เพื่อเร่งหาทางออก
เบื้องหลัง การตัดสินใจส่งเจ้าหน้าที่ไปกัมพูชา ไม่ได้มาจากแรงกดดันของประชาชน เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีแรงผลัก จากฝ่ายนิติบัญญัติ โดยรัฐสภาเกาหลีใต้ มีมติผ่านร่างงบประมาณพิเศษ ในเดือนมีนาคม ปี 2024 เพื่อใช้ในภารกิจช่วยเหลือชาวเกาหลี ในต่างประเทศโดยเฉพาะ (15 ตุลาคม 2025) [2]
และในขณะเดียวกัน กระทรวงยุติธรรมได้ประสานงาน กับสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ เพื่อสร้างหน่วยงาน Global Protection Task Force ทำหน้าที่ติดตามคดีอาชญากรรม ข้ามชาติ ที่มีชาวเกาหลีเกี่ยวข้อง โดยตรง การเคลื่อนไหวนี้ สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางใหม่ ของนโยบายต่างประเทศ
ที่พยายามผสาน Soft Power ด้านความมั่นคง เข้ากับภาพลักษณ์ประเทศ ที่ใส่ใจสิทธิมนุษยชนในระดับสากล ในขณะเดียวกัน ก็ได้กลายเป็นหมากทางการเมืองภายใน เพราะช่วยเพิ่มคะแนนนิยม ให้รัฐบาล ที่กำลังเผชิญวิกฤตศรัทธา ภายในประเทศ

แม้ภาพข่าวการกลับบ้าน ของผู้รอดชีวิต จะดูเหมือนบทสรุปแห่งความสำเร็จ ของภารกิจช่วยเหลือ แต่เบื้องหลังความโล่งใจนั้น กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ยังไม่จบ หลายคนกลับมา พร้อมบาดแผลทางใจ และภาระชีวิตที่หนักกว่าเดิม การต้องเริ่มต้นใหม่ ในประเทศที่ตน จากไปด้วยความหวัง
แต่กลับมาด้วยความเจ็บปวด เป็นภารกิจที่ซับซ้อน ยิ่งกว่าการช่วยชีวิตเสียอีก สิ่งเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่าการรอด ไม่ได้หมายถึงความปลอดภัย และการกลับบ้าน ไม่ได้จบแค่การลงจากเครื่องบิน แต่เป็นการเดินทาง อีกระยะหนึ่งที่ต้องใช้ทั้งเวลา ระบบ และความเข้าใจ จากสังคมในการเยียวยา อย่างแท้จริง
แม้ภารกิจช่วยเหลือ ของรัฐบาลเกาหลีใต้ จะพาผู้รอดชีวิตกลับบ้านได้สำเร็จ หลายร้อยราย ในปี 2024 แต่สิ่งที่ยังคงค้างอยู่ คือบาดแผลทางใจ ที่ไม่สามารถเยียวยาได้ ด้วยเวลา ผู้ที่ผ่านประสบการณ์การกักขัง และบังคับทำงานในค่ายสแกมเมอร์ ส่วนใหญ่ มีอาการวิตกกังวลเรื้อรัง (14 ตุลาคม 2025) [3]
โดยนักจิตวิทยาเกาหลีใต้ ระบุว่าผู้รอดชีวิตกว่า 48% ต้องเข้ารับการบำบัดทางจิตใจ นานเกิน 6 เดือน เพื่อปรับตัวกลับสู่สังคม ในขณะที่บางราย ยังคงมีอาการกลัวเสียงโทรศัพท์ หรือหลีกเลี่ยงพื้นที่ปิด ที่ทำให้นึกถึงสถานที่เดิม ๆ ปัญหาทางจิตใจเหล่านี้ ทำให้รัฐบาลต้องปรับแนวทางการฟื้นฟู
จากช่วยชีวิต มาเป็นช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตได้ อีกครั้ง ผ่านโครงการสนับสนุนด้านจิตสังคม ที่ร่วมมือกับสมาคมจิตแพทย์ แห่งเกาหลี ความช่วยเหลือทางจิตใจ จึงไม่ใช่เพียงการรักษาอาการ แต่เป็นการฟื้นฟูศักดิ์ศรีของมนุษย์ ที่เคยถูกทำให้รู้สึกว่าไม่มีค่า
อีก 1 เงาที่ผู้รอดชีวิตจำนวนมาก ต้องเผชิญหลังกลับประเทศ คือภาระหนี้สินที่เกิดขึ้น จากค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การรักษา หรือแม้แต่การช่วยเหลือ ของหน่วยงานเอกชน หลายคนต้องเซ็นสัญญาเงินกู้ ชั่วคราว เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่าย ในช่วงกลับประเทศ
ซึ่งกลายเป็นภาระระยะยาว โดยไม่ตั้งใจ ข้อมูลจากองค์กร NGO ด้านสิทธิมนุษยชนเกาหลีใต้ ระบุว่าผู้รอดชีวิตบางราย มีหนี้เฉลี่ยราว ๆ 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 คน และต้องใช้เวลามากกว่า 2 ปี จึงจะสามารถชำระได้หมด ความจริงอันเจ็บปวด คือการรอดพ้นจากค่ายสแกมเมอร์
ไม่ได้หมายถึงการหลุดพ้น จากวงจรความลำบาก โดยเหยื่อบางราย กลับเข้าสู่ตลาดแรงงานที่ไม่มั่นคง หรือถูกชักชวนให้ทำงานออนไลน์ ที่เสี่ยงผิดกฎหมาย อีกครั้ง เพราะความจนบีบคั้น ปัญหานี้ จึงไม่ได้จบลงที่การช่วยชีวิต แต่ขยายต่อไปสู่คำถามเชิงโครงสร้าง ว่ารัฐควรดูแลผู้รอดชีวิต ในระยะยาวอย่างไร
ภารกิจของรัฐบาลเกาหลีใต้ ในกัมพูชา ไม่เพียงเผยให้เห็นความซับซ้อน ของอาชญากรรมไซเบอร์ ข้ามชาติ แต่ยังสะท้อนภาพของโลก ที่กำลังหาขอบเขตใหม่ ให้กับคำว่าอธิปไตย และความรับผิดชอบต่อพลเมือง ที่ผสมระหว่างเทคโนโลยี มนุษยธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย อย่างมีความสมดุล
ปฏิบัติการช่วยเหลือของเกาหลีใต้ ในประเทศกัมพูชา ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ อย่างชัดเจน เพราะนี่คือครั้งแรกที่ประเทศ 1 ในเอเชีย ส่งเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เข้าไปปฏิบัติการในต่างแดน โดยได้รับความร่วมมือ จากประเทศเจ้าภาพ อย่างเป็นทางการ
การส่งตำรวจ ไปปฏิบัติภารกิจในกัมพูชา สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ ของประเทศเกาหลีใต้ จากประเทศผู้สังเกตการณ์ สู่ผู้เล่นเชิงรุกในภูมิภาค ปฏิบัติการดังกล่าว ทำให้เกาหลีใต้ ถูกมองว่าเป็นประเทศต้นแบบ การทูตเน้นการแก้ปัญหาจริง มากกว่าการออกแถลงการณ์ บนโต๊ะ

