
ทำไม สุนัขภูเขาสวิส หายาก ทั้งที่น่ารักและแสนอบอุ่น ?
- Pet Noi
 - 73 views
 

ทำไม สุนัขภูเขาสวิส หายาก ทั้งที่เป็นหมาน่ารักอารมณ์ดี มีขนฟูนุ่มน่ากอด สุนัขสายพันธุ์นี้คือหนึ่งใน “ยักษ์ใหญ่ใจดี” ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหมาช่วยงานบนภูเขา แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นสายพันธุ์หายาก หลายคนอาจสงสัยว่าเพราะอะไร ทั้งที่พวกมันมีเสน่ห์ จนใครเห็นก็หลงรักตั้งแต่แรกเจอ
“สุนัขภูเขาสวิส” หายากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยจากข้อมูลของสมาคม Swiss Kennel Club ในปี 2023 ระบุว่า จำนวนการจดทะเบียนลดลงกว่า 35% เมื่อเทียบกับปี 2000
ส่วนหนึ่งอาจมาจากการเปลี่ยนแปลง ของสภาพอากาศ และพื้นที่เกษตรบนเทือกเขาแอลป์ที่ลดลง ทำให้หมาสายพันธุ์นี้ ซึ่งเคยเป็น “ผู้ช่วยชาวไร่บนภูเขา” ถูกเพาะพันธุ์น้อยลงเรื่อย ๆ
ต้นกำเนิดของ “หมาภูเขาสวิส” ย้อนไปกว่า 2,000 ปีก่อน สืบเชื้อสายจากสุนัขขนาดใหญ่ของทหารโรมัน ที่เดินทางผ่านเทือกเขาแอลป์ ก่อนถูกพัฒนาให้เป็นสุนัขลากเกวียน สุนัขเฝ้าฝูงวัวในศตวรรษที่ 1 โดยสุนัขตัวนี้มีถึง 4 สายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอยู่บ้าง คือสุนัขภูเขาสวิตเซอร์แลนด์
ส่วนอีก 3 สายพันธุ์ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยม เนื่องจากหายาก ได้แก่ สุนัขภูเขาเบอร์นีส, อัพเพนเซลเลอร์ เซนเนนฮุนด์ และเอนเทิลบูเชอร์ เซนเนนฮุนด์ ก่อนคริสต์ศักราชในปี 1945 จำนวนของน้องในสวิตเซอร์แลนด์ เหลือเพียง 400 ตัวเท่านั้น ก่อนจะเริ่มมีการอนุรักษ์ บวกการฟื้นฟูพันธุ์จริงจัง
ในช่วงทศวรรษ 1960 ทำให้ปัจจุบันประชากรกลับมีเพียง 3,000 – 4,000 ตัวทั่วโลกเท่านั้น หมาพันธุ์นี้จึงไม่ได้หายากเพราะหมดเสน่ห์ แต่เพราะมีประวัติศาสตร์ ที่ถูกจำกัดอยู่แค่บนภูเขาสูง และในครอบครัวที่ “เข้าใจหมาภูเขา” ที่คล้ายกับเซนต์เบอร์นาร์ดจริง ๆ (23 พฤษภาคม 2025) [1]
จำนวนของหมาภูเขาสวิสลดลง อย่างเห็นได้ชัด ในช่วงต้นปี 2000 โดยข้อมูลจากสหพันธ์สุนัขนานาชาติ ระบุว่า ตัวเลขการจดทะเบียนลดลงกว่า 40% เมื่อเทียบกับช่วงปี 1990 ที่ถือเป็นยุคทองของสายพันธุ์นี้ ปัจจัยหลักมาจากทั้ง “ธรรมชาติ” ที่การผสมพันธุ์ต้องคัดเลือกอย่างรอบคอบ
เพื่อลดการเพาะพันธุ์ที่ซบเซา เนื่องจากต้นทุนการเลี้ยงสูงกว่า 30% จากสุนัขพันธุ์ใหญ่ทั่ว ๆ ไป แต่ทว่า อยู่ ๆ จำนวนลูกสุนัขกลับเพิ่มขึ้นราว ๆ 12% นี่สะท้อนว่าความนิยมใน “หมาภูเขาใจดี” ที่ถูกใช้งานให้เป็นสุนัขทำงาน, สุนัขต้อนฝูง และสุนัขลากเลื่อนตัวนี้ ยังไม่หายไปไหน (2025) [2]

ในโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สุนัขภูเขาสวิสก็ต้องปรับตัวไม่ต่างจากมนุษย์ จากเดิมที่เคยลากเลื่อน, ต้อนฝูงวัว, เฝ้ายาม, ลากเกวียน และช่วยงานฟาร์มบนเทือกเขาแอลป์ รวมไปถึงลากรถนมไปโรงงาน ปัจจุบันกว่า 68% ของพวกมันกลายเป็น “สุนัขบ้านในเมืองใหญ่” (2025) [3]
ที่ได้ออกกำลังกายน้อยลง เฉลี่ยวันละไม่ถึง 40 นาที จากเดิมเฉลี่ยกว่า 2 ชั่วโมง ในอดีต แม้ชีวิตจะเปลี่ยน แต่หัวใจนักผจญภัย รวมไปถึง สุนัขอาอีดี ทำไมหายาก ยังไม่จางหายไป พวกมันยังคงรักอากาศหนาว กลิ่นหิมะ และการได้อยู่เคียงข้างเจ้าของ เหมือนเดิมทุกยุคทุกสมัย
สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลโดยตรงต่อการเพาะพันธุ์ สุนัขภูเขาสวิสที่เคยเติบโตท่ามกลางอากาศหนาว และพื้นที่กว้างใหญ่ ปัจจุบันต้องปรับตัวเข้าสู่สภาพอากาศ ที่ร้อนขึ้นกว่าเดิมในรอบ 20 ปี
ทำให้โอกาสรอดของลูกสุนัข ลดลงราว ๆ 12% จากภาวะเครียดร้อน บวกภาวะขาดออกซิเจนในบางภูมิภาค ผู้เพาะพันธุ์จึงต้องใช้เทคนิคใหม่ ๆ อาทิเช่น การควบคุมอุณหภูมิในฟาร์ม และปรับโภชนาการให้เหมาะกับร่างกาย ที่ต้องใช้พลังงานมากขึ้นถึง 15% ต่อวัน
เมื่อเทียบกับช่วงอากาศเย็น แม้จะไม่ง่าย แต่ “หมาภูเขาใจแกร่ง” รวมไปถึงอีกหนึ่งสุนัข เคน คอร์โซ่ ดุไหม เหล่านี้ ก็ยังคงยืนหยัดในโลกที่เปลี่ยนไป พร้อมกับส่งต่อสายเลือดแห่งความกล้าหาญ และอบอุ่นให้ทาสหมายุคใหม่ได้หลงรัก ไม่ต่างจากวันวาน
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้เพาะพันธุ์สุนัขภูเขาสวิส ลดลงอย่างต่อเนื่องกว่า 35% โดยเฉพาะในยุโรปตอนกลาง ที่เคยเป็นแหล่งหลักของสายพันธุ์นี้ การเพาะพันธุ์สุนัขขนาดใหญ่ มันต้องใช้ทั้งพื้นที่ ทุน และความชำนาญสูงกว่าพันธุ์ทั่วไป เฉลี่ยราว ๆ 2.5 เท่า
ส่งผลให้ผู้เพาะพันธุ์รายเล็ก ทยอยเลิกกิจการไปทีละราย ความหายากของลูกสุนัขสายเลือดแท้ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 8 – 10% และบางประเทศต้องรอคิวรับลูกสุนัขนานกว่า 6 เดือน การลดลงนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือสัญญาณของสายพันธุ์ ที่เริ่ม “กลายเป็นตำนานมีชีวิต”

สุนัขภูเขาสวิสหายากขึ้น เพราะหลายปัจจัยซ้อนกัน ทั้งจำนวนผู้เพาะพันธุ์ที่ลดลง ภาวะอากาศที่ร้อนขึ้น และต้นทุนการเลี้ยงที่สูงกว่าสุนัขทั่วไปถึง 2 เท่า ปัจจัยเหล่านี้ทำให้หมาภูเขา ผู้ซื่อสัตย์จากแดนหิมะ กลายเป็นขวัญใจที่ต้อง “ตามหาด้วยใจ” มากกว่าจะพบได้ง่าย เหมือนในวันก่อน
คำตอบคือทั้งธรรมชาติและมนุษย์ ต่างมีส่วนร่วมในความหายาก ธรรมชาติเปลี่ยน อากาศร้อนขึ้นกว่าเดิม ทำให้พวกมันอยู่ยากขึ้น ขณะที่มนุษย์เองก็ลดการเพาะพันธุ์ลง ในรอบทศวรรษ สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าฝั่งไหนจะเป็นต้นเหตุ หมาภูเขาก็ยังรอคนที่เห็นคุณค่า มาร่วมรักษาสายพันธุ์นี้ไว้ด้วยหัวใจ
หมาภูเขาอาจยังมีโอกาส เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ความนิยมของสุนัขสายพันธุ์ใหญ่ กลับมาเติบโตเฉลี่ยปีละ 9% จากเทรนด์คนเมืองที่โหยหาความอบอุ่น และเพื่อนแท้ที่ซื่อสัตย์ หากได้รับการเพาะพันธุ์อย่างมีมาตรฐาน วันหนึ่งชื่อของพวกมัน อาจกลับมาเห่าดังอีกครั้ง บนเวทีโลก

