
รีวิวโปเกมอน XD ดาร์คเนส ภาคพายุแห่งความมืด ปี 2005
- Good Day's
- 63 views

รีวิวโปเกมอน XD ดาร์คเนส ในช่วงต้นปี 2000 โลกของเกม กำลังขยับจากจอพกพา สู่เครื่องเล่นเกมคอนโซล อย่างเต็มตัว และเกมโปเกมอน เอ็กซ์ดีดาร์คเนส ก็คือผลลัพธ์ของการทดลองครั้งสำคัญนั้น โดยเกมนี้ ถูกสร้างมาเพื่อถามคำถาม ว่าเกมจะเป็นเกมที่จริงจังได้แค่ไหน โดยยังคงความเป็นตัวเองไว้

เกมโปเกมอน ภาคดาร์คเนส จากแฟรนไชส์ Pokemon ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพียงเพื่อเติมเต็มช่องว่าง ของเกมภาคก่อน อย่างในบทความ รีวิวโปเกมอน โคลอสเซียม ก่อนหน้านี้ แต่เป็นผลลัพธ์ของยุคที่ซีรีส์เกมโปเกมอน เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าโลกแห่งมอนสเตอร์น่ารัก (27 ตุลาคม 2025) [1]
สามารถเติบโตไปในทิศทางที่จริงจังได้แค่ไหน การมาถึงของเครื่อง GameCube ในต้นปี 2000 เปิดโอกาสให้ทาง Nintendo ทดลองสร้างเกมที่มีโทนเข้มข้นขึ้น ทั้งด้านภาพ การเล่าเรื่อง และโครงสร้างของเนื้อหา นั่นทำให้ภาคเอ็กซ์ดีดาร์คเนส กลายเป็นสนามทดลองที่สำคัญที่สุด ของเกมในซีรีส์
หลังจาก Pokemon Colosseum เปิดตัวในวันที่ 21 พฤศจิกายน ปี 2003 ทีมพัฒนา Genius Sonority ได้รับแรงกดดัน และความคาดหวังสูงจากแฟนเกม ในการสร้างภาคต่อของเกมในแฟรนไชส์ ที่มีหัวใจหลักเป็นโปเกมอนมากขึ้น โดยภาคใหม่นี้ เริ่มต้นการพัฒนาในช่วงต้นปี 2004 (22 สิงหาคม 2025) [2]
ภายใต้ชื่อรหัส XD Project ซึ่งย่อมาจากคำว่า Extra Dimension แปลว่ามิติพิเศษ สื่อถึงความพยายามนำซีรีส์เกม ไปสู่พื้นที่ที่มีการเล่าเรื่องราวที่ลึกกว่าเดิม ทั้งในด้านกราฟิก เนื้อเรื่อง และอารมณ์ของตัวละคร เกมนี้ถูกสร้างขึ้นมา สำหรับเครื่อง Nintendo GameCube โดยตรง
ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยี 3D เต็มรูปแบบของซีรีส์เกมโปเกมอน และสิ่งที่โดดเด่นในแนวคิดการพัฒนา คือการทำให้โลกมืด ดูมีเหตุผลมากขึ้น ทีมงานต้องการให้ผู้เล่นรู้สึกถึงโลกโปเกมอน ที่ไม่ได้สดใสเสมอไป แต่ยังมีด้านของความเสียหาย และการถูกใช้ประโยชน์ในทางที่ผิด
Pokemon XD Gale of Darkness ที่ได้เปิดตัวให้เล่นเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ปี 2005 ทีมงานผู้พัฒนาไม่ได้ตั้งใจสร้างเกมขึ้นมา เพื่อให้เป็นเพียงเกมต่อสู้ แต่เป็นการทดลองนำเรื่องราวแห่งความมืด และการชำระล้าง มาสู่แฟรนไชส์เกม ที่เคยเน้นความน่ารักกับการผจญภัย (18 กันยายน 2025) [3]
จุดประสงค์หลัก คือการให้ผู้เล่นสัมผัสกับอารมณ์ของการช่วยเหลือ ไม่ใช่การพิชิต ซึ่งสะท้อนผ่านตัวเอก Michael ที่ต้องเดินทางกอบกู้โปเกมอน ที่ถูกทำให้กลายเป็นเครื่องมือขององค์กร Cipher ด้วยระบบ Shadow Pokemon โดยแนวทางการเล่าเรื่องของเกมภาคนี้
ใช้โครงสร้างการเล่าเรื่องแบบเส้นตรง แต่มีความลึกของเนื้อหา ผู้เล่นจะไม่สามารถเลือกเส้นทางได้ อย่างอิสระเหมือนเกมภาคหลัก แต่จะค่อย ๆ ถูกพาเข้าไปสัมผัสประเด็นจิตวิทยา และศีลธรรมที่ชัดเจนขึ้น ในแต่ละฉากของเกม เช่นความไว้วางใจ การให้อภัย และการกลับใจของผู้คน เป็นต้น

เมื่อเข้าใจแนวคิดกับโครงสร้างเบื้องหลัง ของเกมโปเกมอนภาคนี้แล้ว สิ่งที่จะพาทำความเข้าใจต่อมา คือเมื่อเกมเปิดตัวให้เล่น ปฏิกิริยาที่ตามมาจากแฟนเกม สะท้อนภาพอะไรให้เห็นบ้าง ทั้งเสียงชื่นชม และการตั้งคำถามว่าโลกของโปเกมอน จะเดินต่อไปในทิศทางใด หลังจากจบเกมภาคแห่งความมืดนี้
หัวใจของเกมภาคเอ็กซ์ดี ดาร์คเนส อยู่ที่ระบบการต่อสู้แบบ Double Battle 2 ต่อ 2 ที่ต่อยอดมาจากเกมภาค Colosseum แต่ถูกขัดเกลาให้ลื่นไหล และสมดุลขึ้น เกมเน้นให้ผู้เล่นวางแผน ร่วมกับโปเกมอน 2 ตัวในสนาม อย่างเช่น การใช้ท่าป้องกัน สลับกับท่าฟื้นฟู เพื่อชิงจังหวะของคู่ต่อสู้ (2025) [4]
ระบบนี้ทำให้การต่อสู้ใน ภาค XD มีมิติของกลยุทธ์มากขึ้น แม้จะเป็นเกมคอนโซลก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ใหม่ อย่าง Purify Chamber หรือห้องชำระล้างโปเกมอนมืด ซึ่งใช้เป็นหลักการหมุนเวียนพลังงาน จากโปเกมอนที่บริสุทธิ์ เพื่อปลดล็อกโปเกมอนเงามืด ให้กลับสู่สภาพปกติ
ขณะเดียวกัน เกมยังรองรับการเชื่อมต่อกับภาค Emerald ที่เปิดตัวในปี 2004 ผ่านสาย Link Cable ซึ่งในปี 2005 มีผู้เล่นจำนวน 38% ใช้ระบบเชื่อมต่อนี้ เพื่อส่งโปเกมอนไปยังเครื่องเล่นเกมพกพา แสดงให้เห็นถึงความพยายามของทีมพัฒนา ในการสร้างสะพานเชื่อมโลกคอนโซล กับเกมพกพา อย่างแท้จริง
เมื่อเกมออกวางจำหน่าย ในเดือนสิงหาคม 2005 กระแสตอบรับของเกมโปเกมอนภาคนี้ ถูกแบ่งออกอย่างชัดเจน ระหว่างแฟนเกมภาคหลัก และผู้เล่นสายเนื้อเรื่อง โดยกลุ่มหลังชื่นชมเกมในด้านความเข้มข้น และบรรยากาศที่แตกต่าง โดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียง กับเกม RPG ยุคเดียวกัน
อย่าง Final Fantasy X หรือ Tales of Symphonia ในขณะที่กลุ่มแฟนเกมภาคหลัก กลับรู้สึกว่าภาคนี้ ขาดเสน่ห์ของการเดินทางอิสระแบบเดิม แต่ถึงอย่างนั้น เกมโปเกมอน ภาคเอ็กซ์ดีดาร์คเนสนี้ ก็ยังได้รับคะแนนเฉลี่ยจากสื่อเกม จำนวน 72% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับเกมสปินออฟ ในยุค GameCube
ที่เกมหลายภาคทำคะแนนได้ ไม่ถึง 65% สิ่งที่น่าสนใจ คือเมื่อเวลาผ่านไป เกมภาคนี้กลับได้รับการยกย่องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในหมู่แฟนเกมยุคใหม่ ที่หันกลับไปค้นหาช่วงเวลาที่เกมภาคหลัก ไม่ได้เล่าเอาไว้ อีกครั้ง จนถูกจัดให้อยู่ใน Top 10 เกมสปินออฟที่แฟนเกมอยากให้รีเมคมากที่สุด
เกมโปเกมอน เอ็กซ์ดีดาร์คเนส คือบทพิสูจน์ว่าโปเกมอน สามารถเติบโตในเชิงอารมณ์ และความหมายได้ แม้จะไม่ใช่ภาคที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ก็เป็นเกมภาคที่กล้าพอ จะตั้งคำถามต่อโลกที่ตัวเองสร้างขึ้นมา แม้ยอดขายจะไม่สูงเท่าภาคหลัก แต่เกมนี้ได้กลายเป็นเกมที่มีคุณค่า ในประวัติศาสตร์เกมในซีรีส์
จุดเด่นของเกมภาคนี้ อยู่ที่ความกล้าที่จะพาแฟรนไชส์เกมโปเกมอน ออกจากระบบการเล่นแบบเดิม ๆ และการเลือกใช้แนวทางการเล่าเรื่อง อีก 1 โทนที่มีเนื้อหาที่เข้มข้นขึ้น เกมนี้ นำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ กับโปเกมอนในมิติใหม่ ผ่านระบบที่สะท้อนแนวคิดเรื่องการชำระล้าง และการให้อภัย
จุดด้อยของเกมภาคนี้ คือขอบเขตที่จำกัดเกินไป ทั้งในด้านเส้นเรื่อง และพื้นที่สำรวจในเกม ทำให้ผู้เล่นบางกลุ่ม รู้สึกว่าถูกปิดกั้นเสรีภาพ มากกว่าการเล่นเกมภาคหลัก ระบบใหม่ที่เพิ่มเข้ามา แม้จะดูน่าสนใจในเชิงแนวคิด แต่เมื่อเล่นจริง กลับมีความซ้ำซ้อนในขั้นตอนของการเล่น

